วันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2567

แด่...ผู้เจริญสติ เจริญภาวนา
# การเจริญสติ คือ มีความเพียร พยายามระลึกรูปต
่างๆ อันได้แก่ ภาพ เสียง กลิ่น รส โพฏฐัพพะ
ธรรมารมณ์ ที่กระทบอยู่ ในขณะนั้นๆ
ประคองให้เห็นอยู่ ในกาย ในใจของตัวเอง พร้อมความสังเกตุ รอ เพื่อเห็นกายสังขาร,จิตตสังขารปรากฏ
ภายหลังจากความดับไปแห่งตัณหามานะอัตตาตัวตน


จากการเจริญอริยมรรค มีองค์ ๘ ในขณะนั้นๆ
พึงเห็นอาการ ความรู้สึก ปรากฏ เกิด ในกาย ในใจ คือปัญญาได้เห็นกิเลส ปรากฏ เกิด ในกาย ในใจของตัวเอง
จากการระลึกรูปต่างๆ ที่สติ ระลึกไว้ ขณะกระทบ
ก็ต่อเมื่อความดับไปแห่งตัณหามานะอัตตาผู้หลงมีขึ้นแล้ว พึงเห็น กิเลสรูปแบบต่างๆ ปรากฏ งอกงามขึ้น
บนสติระลึก พร้อมๆกับปัญญา ปรากฏ เกิด งอกงามควบคู่ไปกับกิเลส กิเลสรูปแบบต่างๆ ปรากฏ เกิด
งอกงามขึ้น บนสติระลึก พร้อมๆกับปัญญา ปรากฏ เกิด
งอกงามควบคู่ไปกับ กายสังขาร,จิตตสังขาร
กระทั่งเห็นกิเลสเสื่อม และแปรสภาพไปตาม
เวลาที่ถูกเห็นด้วยปัญญา บนสติระลึก
# ปัญญา จึงได้เห็นทั้งการปรากฏ เกิด งอกงาม และ
ความเสื่อม แปรสภาพไป ของกิเลส จึงรู้แจ้งในทุกข์อริยสัจจ์ ๔
# ผู้รู้ คือ ผู้ที่เห็นปฏิกิริยาของตัณหาอัตตาตัวเอง
ขณะกระทบภาพ เสียง กลิ่น รส โพฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
ในขณะนั้นๆ
#ผู้รู้ คือ ผู้ที่เห็นมานะอัตตาตัวเอง บัญญัติ กําหนด ให้ความหมาย ต่อสิ่งที่ปรากฏ ในกาย-ใจของตัวเองอยู่ในขณะนั้นๆ
#การเจริญสติ อาศัย # สัมมาทิฏฐิ
มีความระลึก สังเกตุ สงสัย รอการเห็นสิ่งที่ปรากฏ เกิด
ในกาย-ใจ ของตัวเอง ด้วยการระลึกภาพ เสียง กลิ่น รส
โพฐัพพะ ธรรมารมณ์ เพื่อเห็นอาการ อารมณ์
ความรู้สึก นึกคิด ตัณหารูปแบบต่างๆ ปรากฏ เกิดในกาย-ใจตัวเอง แล้วงอกงามขึ้น และแปรเปลี่ยนไป
ตามเวลาที่ถูกเห็นโดยปัญญา บนสติระลึก (ความระลึกชอบ) อันหมายถึง ปัญญา ได้ปรากฏ เกิด
และงอกงามควบคู่ไปกับกิเลส บนสติระลึก และยังหมาย
ถึงกายสังขาร,จิตตสังขารไม่ปรากฏ ปัญญาไม่เกิด
เพราะปัญญาเกิด เพื่อมารองรับการเห็นทุกข์ และรู้แจ้ง
ในทุกข์
(ผู้รู้ ปรารภความเพียร ประคองตั้งจิตไว้ คือ
ความพากเพียรชอบ)
กระทั่งกายสังขาร,จิตตสังขารระงับ พึงเห็นธรรมอันเป็นธรรมชาติ คือ ปฏิจจสมุปปบาท เป็นการเกิดขึ้น
แห่งธรรมเพราะอาศัยกัน ปรากฏ เกิด และแสดง บน
# สัมมาสติ ตามกําลังของ # สัมมาสมาธิ
คือ พ้นจากความระลึก พ้นจากการบัญญัติ ให้
ความหมาย จึงมีแต่ #อุเบกขา ที่รับรู้ การปรากฏ เกิด
และแสดงของทุกข์นั้นๆอยู่ ตามความเป็นจริง
ไม่มีมานะอัตตาใดๆ ที่เข้าไปบัญญัติว่า สิ่งที่ปรากฏ
เกิด และแสดงอยู่บนสัมมาสติขณะนั้นๆ เป็นบาป-บุญ ดี-
ชั่ว น่าเกลียด หรือน่ากลัวแต่ประการใด และไม่มีเรา
หรือเขา ที่เข้าไปเป็นเจ้าของการแสดงนั้นๆ
กระทั่งสัมมาสมาธิหยุดลง สติ จะกลับมาเป็นสติระลึก
จึงระลึกได้ว่า ทุกข์ที่ปรากฏชั่วครู่ขณะเมื่อครู่ที่ผ่านมา
เป็นบาป-บุญ น่าเกลียด-ประทับใจ พร้อมๆทั้งความอัศจรรย์ ที่ได้เห็นสิ่งดังกล่าว
(หน้า 013)
.....................................................................
รวบรวมแนวทางภาวนา
"เพื่อการเห็นทุกข์ และรู้แจ้งทุกข์
ของ "หลวงพ่อชา สุภัทโท"
"หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต"
"หลวงปู่หล้า เขมปัตโต"
"หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เมตตาแสดงในสมาธิฆราวาส ๗ ท่าน
ในโอกาสต่างกัน เช่น ขณะทํางาน , ขับรถ , ดูโทรทัศน์
,นอน
ในช่วงเดือน มกราคม 2557 - กุมภาพันธ์ 2558
ผู้รวบรวม : นายแพทย์อนันต์ อุ่นแก้ว
(จิตเวชศาสตร์)
วิสุทธิ์ วระศิริ (อาจารย์ ส.)
(ผู้ปฏิบัติภาวนา / นําเผยแผ่)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

  เทรดแบบใหม่ คาดว่าจะขึ้นและหมดเวลาเหนือเส้นแล้วกดซื้อ แต่ส่วนมากปรากฏกว่า หมดเวลาอยู่ใต้เส้น💰ขายลงก็เช่นกัน คาดว่าจะลงและหมดเวลาใต้เส้นแล...